|
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ(๓ ครั้ง) ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พุทธัง สรณัง คัจฉามิ - ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ - ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก สังฆัง สรณัง คัจฉามิ - ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก | ||
| ||
| ขณะที่ 1 - เมื่อจักขุประสาทซึ่งเป็นรูป กระทบรูป สีแดง และสีส้ม และสีอื่น ๆและรูปพรรณสันฐานที่ได้เห็นและมีภวังคจิต(เกิดคั่น) - ภวังคจิตคือจิตเกิดดับอยู่ในกระแสภวังค์ไม่ได้รับรู้โลกภายนอกทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เวลานอนหลับแล้วไม่ฝัน แสดงว่าจิตอยู่ในภวังค์ เวลาหลับ ภวังคจิตก็เกิดดับ เช่นเดียวกับจิตดวงอื่น ๆ เช่นกัน คำว่าภวังค์ หมายถึงองค์แห่งภพเป็นจิตตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงจุติ ขณะใดจิตไม่ได้ยกขึ้นสู่อารมณ์ ทางตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตขณะนั้นเป็นภวังค์ ภวังคจิต (life-continuum) สามารถเปรียบเทียบได้กับจิตไร้สำนึก (the unconscious) ตามแนวคิดของ Freud และจิตไร้สำนึกรวม (the collective unconscious) ตามทรรศนะของ Jung เพียงแต่ว่าภวังคจิตในพุทธศาสนามีขอบเขตกว้างขวางและลึกซึ้งกว่าในจิตวิทยาสมัยใหม่มาก อกุศลมูล (unwholesome roots) ซึ่งได้แก่ ความโลภ ความโกรธ และความหลง รวมทั้งกุศลมูล (wholesome roots) ซึ่งได้แก่ความไม่โลภ (อโลภะ) ความไม่โกรธ (อโทสะ) และความไม่หลง (อโมหะ) จะถูกเก็บสั่งสมไว้ในภวังคจิต ทำนองเดียวกันกับแรงขับทางเพศ (sexual drives) แรงขับทางก้าวร้าว (aggressive drives) อภิอัตตา (superego) และบางส่วนของสัญชาตญาณแห่งอัตตา (ego-instinct) ซึ่งรวมกันเป็นเนื้อหาที่สำคัญของจิตไร้สำนึกในทฤษฎีจิตวิเคราะห์1,22 ขณะที่ 2 ปัญจทวารวัชชนจิต ปัญจทวารวัชชนจิต(จักขุทวาราวัชชนจิต) เกิด เปรียบเหมือนยามเฝ้าประตู เมื่อเกิด ก็ทำ อาวัชชนกิจ อาวัชชนกิจคือการทำกิจพิจารณาอารมณ์ ปัญจทวาราวัชชนจิตเป็น อเหตุกกิริยาจิต ขณะที่ 3 - จักขุวิญาณ(จิต)ซึ่งเป็นนาม จักขุวิญาณ(จิต) เกิดต่อ เราก็เรียกจิตดวงนี้ว่า กริยาจิต จิต (mind) ในพระอภิธรรมหรือพุทธจิตวิทยา (Buddhist psychology) เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ 5 ที่เรียกว่า กองวิญญาณ (conciousness) คำว่า “วิญญาณ” หมายถึงธรรมชาติที่รู้อารมณ์ (สิ่งเร้า) ที่เกิดขึ้นทางทวารทั้ง 6 (ดูรายละเอียดเรื่องวิญญาณในขันธ์ 5) จิตที่เกิดขึ้นทางทวารทั้ง 6 นี้มีชื่อเรียกว่าวิถีจิต (Vithi citta) เป็นจิตที่เกิดขึ้นในขณะที่คนเราตื่นตัว หรือรู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ วิถีจิตนี้เมื่อเปรียบเทียบ กับจิตวิเคราะห์ (psychoanalysis) ก็คือ จิตสำนึก (the conscious) และจิตก่อนสำนึก (the preconscious) ความจริงจิตก่อนสำนึกซึ่งอาจเรียกว่าจิตกึ่งสำนึก คือส่วนของจิตที่รวบรวมเนื้อหาต่าง ๆ ที่คนเราสามารถจะรู้หรือระลึกได้เมื่อมีความตั้งใจ เช่น เมื่อมีคนถามว่า “คุณอายุเท่าไร?” หรือ “เบอร์โทรศัพท์ที่บ้านคุณ หมายเลขอะไร?” เราก็ตอบได้ทันที ดังนั้นจิตก่อนสำนึกก็คือมโนวิญญาณ (mind consciousness) ซึ่งเป็นวิถีจิตอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นทางใจ ส่วนจิตสำนึกจะ ตรงกับวิถีจิตที่เกิดขึ้นทางตา เรียกว่าจักขุวิญญาณ (eye-consciousness) ทางหูเรียกว่าโสตวิญญาณ (ear-consciousness) ทางจมูกเรียกว่าฆานวิญญาณ (nose-consciousness) ทางลิ้นเรียกว่าชิวหาวิญญาณ (tongue-consciousness) และทางกายเรียกว่ากายวิญญาณ (body-consciousness) วิถีจิตคือจิตที่พ้นจากภวังค์ คือเมื่อจิตรับอารมณ์ทางทวาร ทั้ง 6 เรียกว่า จิตขึ้นวิถีรับอารมณ์ เมื่อขึ้นวิถีรับอารมณ์แล้วก็จะมีภวังคจิตคั่นสลับตลอด เราเริ่มโยนิโสมนัสสิการเข้าหาตัวเอง ณ ตรง มโนทวาราวัชชนจิต ดวงนี้ ซึ่งทำอาวัชชกิจเฉพาะทางมโนทวารทวารเดียว เรากำหนดจิตให้ตั้งอยู่ในจิต เช่นเมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ไม่คิดปรุง ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่คิดปรุง ดังนี้ เป็นต้น (ไม่คิดปรุงหมายความว่า ไม่ให้จิตเอนเอียงไปในความเห็นดีชั่ว) |
||
|
|
||
|
สัญญาเจตสิก(จำ)เกิดร่วมด้วยจิต(จักขุวิญญาณ) เกิดกับจิตทุกดวง ---> ตรงนี้มีสติระลึกรู้ วิตกเจตสิก(ทำหน้าที่ต่อจากสัญญาเจตสิก)ในการตรึกนึกถึงเรื่องราว ทุกข์มี 2 อย่าง ; ทุกข์ทางกาย (อเหตุกจิตดวงเดียว) เมื่อกรรมใดให้ผล เพราะอกุศลกรรม(ได้เคยทำ)ที่เป็นปัจจัย ส่วนทุกข์ทางใจเกิดขึ้นเพราะกิเลส ถ้าดับ โทสะมูลจิต โทมนัสเวทนา ทุกข์ทางใจก็ดับ ขณะโทมนัสเวทนา(ความไม่แช่มชื่น ไม่สบายใจ) เกิดขึ้นขณะนั้นเป็นอกุศลซึ่งจะมีโทสมูลจิต 2 เกิดขึ้นร่วมด้วย โทสะมูลจิตเที่เกิดเมื่อไร โทสะมูลจิตปรากฎเรา(เป็นเรา)ที่เกิด โทสะมูลจิตปรากฎเรา นั่นไม่ใช่เรา(ไม่ใช่เป็นตัวเรา) เมื่อสติระลึกได้ ในขณะที่พิจารณา โทสะมูลจิตเกิด มันไม่ใช่เรา (สติระลึกได้ - สติปัฏฐานเกิด) | ||
| วิริยะเจตสิกจะเกิดร่วมด้วยกับจิตที่เป็นกุศลและอกุศล ดังนั้นวิริยะเจตสิกก็จะเกิดร่วมด้วยกันกับจิตที่เป็นอกุศลคือโทสะเจตสิก *** สภาพธรรมของสติที่เกิดควรต้องเกิดเพื่อละโทสะมูลจิต,โทสะเจตสิกและยัง *** ให้เกิดขันติบารมีเพื่อลดทอนโทสะเจตสิก *** และยังให้สติเจริญเนกขัมมะวิตกไปด้วย *** และยังให้เกิดเมตตาบารมี (อันว่าเมตตานั้นต้องไม่มีโลภะมาเกี่ยวข้องเฉกเช่น แม่ที่มีเมตตาต่อลูกของตนเอง ต้องเหมือนและหรือเท่ากันกับที่เแม่มีเมตตาต่อเด็กคนอื่นเท่ากันกับลูกตนเอง อันนี้เรียกว่าเมตตาที่ไม่มี โลภะเข้ามาเกี่ยวข้อง) ขณะใดที่รู้อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ เช่นเห็นสี่งที่ไม่น่าพอใจ ทางตา หรือว่า ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจทางหู ได้กลี่นที่ไม่น่าพอใจ ลี้มรสที่ไม่น่าพอใจ กระทบสัมผัสสี่งที่ไม่น่าพอใจ ทุกขณะนั้นเป็นโทสะมูลจิต มีโทสะเจตสิกเกิดร่วมด้วย ปัจจัยที่ทำให้เกิดโทสะก็คือ 1. โลภะ หรือความติดข้องต้องการนั่นเอง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ เวลาที่เราสูญเสียสิ่งที่เรารักหรือบุคคลที่เรารัก ย่อมนำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจนั่นเอง 2. ความไม่รู้ไม่เข้าใจในสภาพธรรม ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดโทสะได้ เช่น ผู้ที่ไม่เข้าใจเรื่องกรรมเรื่องวิบาก ย่อมเกิดโทสะได้ง่ายเมื่อถูกผู้อื่นด่าว่า เพราะไม่รู้ว่าการที่ต้องได้ยินคำพูดที่ไม่ดีนั้น เป็นอกุศลวิบาก หรือผลของอกุศลกรรมที่ตนได้ทำแล้วนั่นเอง ถ้าขณะนี้กำลังโกรธ สติระลึกได้ว่า "ไม่ควรที่จะโกรธตอบ เพราะว่าจิตขณะนั้นเป็นอกุศล" สภาพที่โกรธมีจริง ๆ ปัญญาสามารถเห็นความหยาบกระด้างของจิตในขณะที่โกรธ และปัญญาก็สามารถรู้ตามความเป็นจริงว่า สภาพธรรมที่เกิดนี้ ไม่มีผู้ใดบังคับบัญชาได้.... เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้วก็เกิดขึ้น ทำหน้าที่ตามกำลังของความโกรธนั้น จะโกรธมากหรือโกรธน้อย ก็ขึ้นอยู่ที่กำลังของกิเลส (โทสมูลจิต).....ขณะโกรธแล้วระลึกได้...พิจารณาบุคคลอื่นในทางที่จะทำให้เกิด เมตตาบ้าง(ความเป็นมิตรไมตรี เกื้อกูล) กรุณาบ้าง (ความสงสาร) มุทิตาบ้าง (ยินดีเมื่อผู้อื่นมีสุขหรือประสบความสำเร็จ) อุเบกขาบ้าง (วางใจเป็นกลาง) นี่เป็นกุศลจิตซึ่งปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งเป็นจิตที่สงบ.....ฉะนั้นเมื่อต้องการที่จะดับกิเลสจึงต้อง "อบรมเจริญกุศลทุกประการ" ไม่ใช่เพียงแต่มุ่ง "ทำทาน" เท่านั้น ความพอใจใน รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ เป็นเหตุให้เกิดโทสะได้ คือ เมื่อไม่ได้ตามต้องการย่อมเกิดโทสะ หรือเมื่อได้แล้ว สิ่งเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงสูญหาย ย่อมเกิดโทสะได้ หรือเพราะยังละโลภะ ความติดข้องยังไม่ได้ โทสะ ย่อมเกิดขึ้นได้ เมื่อประสบกับ อนิฏฐารมณ์ และพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การทำลายโทสะนั้น ต้องทำลายโลภะ < การทำลายโลภะ ต้องทำลายอวิชชา การทำลายอวิชชา ต้องเดินตามมรรคมีองค์ 8 เวลาที่ทุกข์เกิดขึ้น จะให้ใจไม่เป็นทุกข์ ก็จะต้องเจริญสติ เจริญอย่างไรครับ ! ทุกข์เวทนาเกิด เราเจริญสติ(โสภณเจตสิกซึ่งเป็นธรรมมะฝ่ายกุศล) ว่า สิ่งที่เกิด มันไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ตัวเรา เขาเพราะสิ่งเหล่านั้นมันมาประชุมกัน(อันมี ดิน น้ำ ลม ไฟ) แล้วมันก็ต้องสลายไป มันไม่สามารถ ตั้งอยู่ เดี๋ยวมันก็ต้องสลาย แล้วจะไปยึดติดอะไรกับมัน และเฉกเช่นดวงจิตที่เกิดขึ้นก็เกิดทีละดวง กว่าจะมาเป็นทุกขเวทนามันเกิดและดับเร็วมาก มันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา *** ผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน 4 ก็จะโยนิโสมนัสสิการ เข้าหาตัวทุกเมื่อ เมื่อมีโอกาสประจักษ์อกุศล ; โลภะ ,โมหะ, โทสะ, ก็จะเจริญกุศล โดยสติระลึกรู้ ถึงกุศล อันมี อโลภะ,อโมหะ,อโทสะ, เนกขัมมะวิตก, ขันติบารมี, เมตตาบารมี.... ทุกข์ที่เกิดก็จะถูกบริหารจัดการได้ทันทีจน "ปัญญาบารมี" สะสมจนคมกล้า *** ปุจฉา สติควบคุมจิต หลวงปู่สอนไว้ว่าให้ใช้สติควบคุมจิต เหมือนประตูหน้าต่าง แสดงว่า อารมณ์ต่างๆ เช่น โทสะ โมหะ จะต้องเกิดขึ้นก่อนแล้วสติค่อย กำกับทีหลัง มีข้อยกเว้นสำหรับพระอรหันต์ที่ยังอยู่ในสังคมไม่ใช่อยู่ในป่า (สมมติว่ามี) หรือไม่ คือ จิตจะไม่เกิด อารมณ์ต่างๆ ที่ไม่ดีเลย หรือว่า มีอารมณ์เหมือนกันแต่สติตามได้ทันตลอดเวลา วิสัชนา "ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่า โทสะนั้นมีอยู่เดิม แต่บุคคลผู้รับ โทสะหามีไม่ โมหะนั้นมีอยู่เดิมบุคคล ผู้รับโมหะนั้นหามีไม่ ราคะนั้นมีอยู่เดิม แต่บุคคลผู้รับราคะนั้นมีอยู่ไม่ เมื่อโทสะ โมหะ ราคะ มันมีอยู่เดิมแล้ว เราไม่มี ก็คือตัวเราจริงๆ ไม่มี แต่ที่เราเข้าไปรับมัน ก็เพราะเราไปปรุงแต่งว่าตัวเรามีแล้วเรารับมันเข้ามาใช้ประโยชน์ ราคะ โทสะ โมหะ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลกเดิมก่อนที่คุณจะเกิด ทีนี้เมื่อมันมีอยู่เดิม คุณเกิดมาหน้าที่ของคุณก็คือเพียงแค่ระวังอย่าให้ไปเปื้อน อย่าให้ไปแปดเปื้อน อย่าให้มันมีอำนาจมาทำให้จิตวิญญาณของคุณขุ่นมัวเท่านั้นเอง สติก็เป็นตัวกางกั้น สติทำหน้าที่หรือมีหน้าที่ ที่จะเปิดปิดประตูแห่งใจคุณว่า อะไรควรรับ อะไรไม่ควรรับ นี่เรียกว่า ราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นทุน เดิมของโลกมีอยู่แล้ว ส่วนราคะ โทสะ โมหะที่เป็นทุนเดิมของกรรม หรือพิธีกรรม หรือจิตวิญญาณของคุณ ที่ เป็นทุนเดิมเรียกว่า โลภมูลจิต โทสมูลจิต โมหมูลจิต ก็คือคุณเกิด มาจาก ราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นมูลเดิมของจิตวิญญาณคุณที่สั่งสมอบรมมาแต่อดีตชาติ ที่เรียกว่าอนุสัย เมื่อสั่งสมอบรมมา แต่เก่าก่อนแล้วสิ่งเหล่านี่ หน้าที่ของคุณ เกิดเป็นคน ต้องชำระล้าง ละตัดให้หลุด อย่าปล่อยให้มันมาฉุดเราอยู่ รวมๆ ก็คือ ราคะ โทสะ โมหะมีทั้งภายใน ก็คือจิตเดิมของคุณมีมาเก่า และมีทั้งภายนอกก็คือมีอยู่ในโลกนี้แล้ว มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ประตูหน้าต่างมีเอาไว้สำหรับป้องกัน พายุข้างนอก แต่ไม้กวาด ผ้าขี้ริ้ว ผ้าเช็ดถู มีสำหรับไว้ป้องกันฝุ่นละอองภายใน ถ้า คุณมีสองสิ่งนี้ได้ก็ถือว่าคุณมี สติ สมาธิ และปัญญาจะกำจัดสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ของจิตคุณทั้งภายในและภายนอกได้ ส่วนคำถามที่ถามว่า พระอรหันต์ เป็นผู้ที่เจริญ ซึ่งสติ สมาธิ และปัญญาแล้ว ก็คือมี ทั้งประตูหน้าต่าง และเครื่องกำจัดภายใน ที่สมบูรณ์ที่ไม่มีรูรั่ว ที่สามารถ ป้องกัน ราคะ โทสะ โมหะ หรือภัยพิบัติจากข้างนอกได้แล้ว แล้วก็มีเครื่องดูดฝุ่น มีทั้งผ้าเช็ดพื้น มีทั้งไม้กวาดอันสมบูรณ์ แล้วก็มีพนักงานที่พร้อมที่จะทำลายสิ่งที่เป็นภายในที่เรียกว่าฝุ่นละอองนั้น หมดไปเรียบร้อยแล้ว รวมๆ ก็คือพระอรหันต์ไม่มีมลพิษทั้งภายใน หมดแล้ว ภายนอกก็ไม่มีอำนาจเหนือ ท่านแล้ว พระอรหันต์ไม่ใช่ไม่มีมลพิษแต่ภายนอก ภายนอกไม่มีสิทธิ์ พระอรหันต์นี่ไม่สามารถที่จะไปทำลายโทสะ โมหะ ราคะ ของโลกได้ ก็บอกแล้วว่ามันมีอยู่แล้วเป็น ทุนเดิม ถ้าจะทำลายก็ต้องวางระเบิดเวลาเผาผลาญโลก หรือไม่ก็ทำลายโลกไป ก็ไม่แน่ใจว่าโลกนี้มันระเบิดแล้วจะหมด ราคะ โทสะ โมหะ หรือไม่ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์เป็น ผู้หมดจากกิเลสทั้งภายในและไม่ปล่อย ให้ภายนอกมามีอำนาจเหนือท่าน ราคะ โทสะ โมหะ ข้างนอกมีอยู่ แต่ไม่ทำให้ท่านต้องเดือดร้อนเท่านั้นเอง" |
แหล่งที่มาในพระธรรม :
- อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์
- มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
- www.dhammahome.com
http://khun-meaw.blogspot.com/2011/10/blog-post_07.html
http://www.atriumtech.com/
http://www2.manager.co.th/
e-book learning PY212-5 , ม.รามคำแหง
http://www.psychiatry.or.th/JOURNAL/v4337f.html
ขอบคุณรูปประกอบจาก
Kingdavid.wordpress.com


No comments:
Post a Comment